เอา่ล่ะขออธิบายเพิ่มเติมนิดนึงเพื่อความเข้าใจและสบายใจของลูกค้าที่มารับบริการดังนี้ครับ
ที่มาของรอยต่อ และรอยอาร์คจุดๆ เยอะๆ ที่กังวล
โดยปรกติหลังคามีความโค้ง แต่เหล็กที่เอามาใช้แบนราบ ดังนั้นเราต้องตัดเหล็กในส่วนที่ต้องทำส่วนโค้งลง(ลองตัดกระดาษตามแบบในรูปแล้วเอากาวติดดูครับจะเข้าใจ) ดังนั้นการเชื่อมจุดที่เราตัดออกต้องใช้ความร้อน ความร้อนให้ผลได้ทั้งบวมและยุบ(อาจจะทะลุได้ในบางจุด) ดังนั้นส่วนที่เป็นจุดเยอะๆ แบ่งเป็น 2 อย่างคือ
1. จุดการเชื่อม(อาร์ค) ระหว่างหลังคากับคานหลังคาด้านใน สังเกตุดูแล้วจะเป็นรอยอาร์คในแนวขวางกับหลังคารถ
2. จุดอาร์คเพื่อดึงหรือเคาะลงไปเพื่อให้ชิ้นงานเหล็กเรียบเนียนที่สุด เพื่อให้มีการโป๊วทับน้อยที่สุด เมื่องานเสร็จเคาะดูจะทราบได้ถึงความบาง ไม่ดังปึ๊กๆ หนาๆ เพราะสีโป๊วครับ
ดูรูปประกอบครับ
ต่อมาเรื่องเหล็กที่เราเอามาทำหลังคาแทนของเดิม(ตัดต่อใหม่) เหล็กที่เรานำมาใช้คือเหล็กชุบสังกะสี(เหล็กซิงค์) ดังนั้นถ้าเราทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องปรกติ ไม่ได้ไปทำให้มันชื้นกว่าที่ควรจะเป็น มันจะเป็นสนิมได้ยากกว่าเหล็กธรรมดา แม้จะราคาสูงกว่าปรกติแต่เราก็เลือกใช้เพราะเราเล็งเห็นความสำคัญในการเลือกใช้วัตถุดิบครับ
อธิบายขั้นตอนการปะผุ ทำสีรถ
เริ่มจากการเีคาะ โดยมีการใช้ความร้อนมาประกอบด้วย การอาร์คเพื่อใช้เป็นจุดดึงหรือเคาะจุดสนใจให้เรียบนั้นก่อให้เกิดรอยอาร์คอย่างที่สนใจ แต่เมื่อเสร็จขั้นตอนนี้ไปเราก็ต้องขัดหน้าสัมผัสเดิมออกทั้งหมด ดังนั้นสังกะสีที่เคลือบมาจะุหลุดออกไปในขั้นตอนนี้
แต่เราจะพ่นสีเกาะเหล็กทับแทน ซึ่งทำหน้าที่กันชิ้นงานสัมผัสกับอากาศดังนั้นจึงกันสนิมได้ 100%
เมื่อโป๊วเก็บรายละเอียดครบทุกส่วนแล้วเราก็จะพ่นสีรองพื้นอีกครั้ง
ขั้นตอนนี้เท่ากับชิ้นงานถูกพ่นทับ 2 รอบแล้วนะครับ(สีเกาะเหล็กและสีรองพื้น ไม่นับขั้นตอนโป๊ว เพราะเราไม่ได้โป๊วหนา)
จากนั้นพ่นสี และแล็คเกอร์ ดังนั้นเท่ากับการพ่นทับทั้งหมด 4 ขั้นตอน บอกลาน้องหนิมได้เลย
สรุปขั้นตอนดังนี้
ขัดสังกะสีออกก่อน + พ่นสีเกาะเหล็ก + โป๊ว + สีรองพื้น + สี + แล็คเกอร์
หมดห่วงเรื่องสนิมและคลายความสงสัยเรื่องจุดเชื่อมเยอะๆ หรือยังครับ?